คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ความสุขกับดอกไม่นานาพันธุ์


ชื่อพฤกษาศาสตร์ Nerium oleander


วงศ์ APOCYNACEAE


วรรณคดีไทยที่กล่าวถึง อิเหนา ลิลิตตะเลงพ่าย


ถิ่นกำเนิด ประเทศอิหร่าน อินเดีย ญี่ปุ่น


การขยายพันธุ์ ปักชำ เพาะเมล็ด และตอนกิ่ง


ลักษณะ
เป็นไม้พุ่ม ขนาดประมาณ 2 - 3 เมตร แตกกิ่งก้านน้อย ต้นมียางสีขาว ใบเป็นใบเดียวเล็กเรียวยาวคล้ายรูปหอก ปลายแหลม ริมใบ เรียบ ดอกออกเป็นช่อ ๆ สีชมพู ขาว แดง มี 5 กลีบ กลิ่นหอม ฝักเป็นคู่ เมล็ดมีขนละเอียด

ชื่อสามัญ Burma conehead


ชื่อพฤกษาศาสตร์ Clerodendrum fragrans Vent.


ชื่อวงศ์ VERBENACEAE


การขยายพันธุ์ ใช้ตอนกิ่ง และปักชำ


สรรพคุณ ราก นำมาปรุงยา ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคลำไส้ และไตพิการ
ใบ ใช้ใบสดต้มน้ำล้าง บริเวณที่เป็นผื่นคัน ต้มน้ำดื่มขับระดูขาว



วรรณคดีที่กล่าวถึง ลิลิตพระลอ นิราศเมืองเพชร ขุนช้างขุนแผน นิราศธารโศก กาพย์เห่เรือ ลิลิตเพชรมงกุฎ


ลักษณะ

ไม้พุ่มต่ำขนาดเล็กสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นตรง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ใบค่อน ข้างกลม คล้ายรูปหัวใจ ริมใบเป็นจัก มีขนเล็กน้อย สากมือ ก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่งดอกย่อยจะมีกลีบซ้อน คล้ายดอกมะลิซ้อน สีขาว หลังกลีบสีม่วง ผลมีเนื้ออ่อน

ชื่อพฤกษาศาสตร์ Hibiscus sosa chinensis Linn

ชื่อไทยพื้นเมือง ดอกใหม่ แดงใหม่ ชุมบา


วงศ์ MALVACEAE.


วรรณคดีที่กล่าวถึง รามเกียรติ์ อิเหนา เงาะป่า ไตรภูมิพระร่วง ดาหลัง


สรรพคุณ
รากใช้ยาสมุนไพร รักษาฝี และถอนพิษ

การขยายพันธุ์ ใช้กิ่งตอน หรือปักชำ



ลักษณะ

ไม้พุ่ม เป็นต้นไม้เนื้ออ่อน เปลือกเหนียว ใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม ปลายใบแหลม โคนใบมน ริมใบเป็นจักคล้ายใบเลื่อย ดอกชบามีหลายพันธุ์ มีลักษณะต่าง ๆ กัน มีอยู่สีหลายสี เช่น แดง แสด ม่วง เหลือง ขาว มีเกสรอยู่กลางดอก บางพันธุ์จะยาวยื่นออกมานอกดอก

ดอกเข็ม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Ixora chinensis lamk.

ตระกูล RUBIACEAE



ลักษณะทั่วไป

ต้นเข็มเป็นพรรณไม้ยืนต้นมีพุ่มขนาดเล็กจนถึงขนาดกลางขนาดลำต้นมีความสูงประมาณ3-5 เมตรลำต้นเป็นต้นเดี่ยวหรือแตก

กอแผ่สาขาออกไปเป็นต้นต้นเล็กกลมขนาดเส้นรอบวงประมาณ 4-10 เซนติเมตรลำต้นเรียบสีน้ำตาลกิ่งยอดมีสีเขียวแตกกิ่งตรงขึ้น

ด้านบน ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่สลับกันรอบต้นและกิ่ง ใบแข็งเปราะมีสีเขียวสด โคนใบมนปลายใบแหลม ลักษณะใบมีขนาด

และรูปร่างแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์ออกดอกเป็นช่อออกตรงส่วนยอดซึ่งมีก้านดอกชูไว้ภายในช่อประกอบด้วยดอกเล็กๆลักษณะ

เป็นหลอดเล็ก ๆ ซึ่งมีกลีบอยู่ส่วนบน ประมาณ 4-5 กลีบ กลีบเล็กแหลม ลักษณะดอกและสีสรรแตกต่างกันไป



การเป็นมงคล

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกเข็มไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีความฉลาดเฉียบแหลม เพราะเข็มคือสิ่งที่มึความแหลมคม

ดังนั้นคนไทยโบรานจึงใช้ดอกเข็มในพิธีไหว้ครูเพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลมนอกจากนี้ยังใช้

ดอกเข็มเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีทางศาสนาได้เป็นสิริมงคลยิ่งนัก

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก

เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเข็มไว้ ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ

เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพือเอาประโยชน์ทั่วไปทางดอก ให้ปลูกในวันพุธ

การปลูก

1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงสูงขนาด 8-12 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : แกลบผุ

ดินร่วนอัตรา1:1:1 ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถางปีละครั้งเพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและเพื่อเปลี่ยนดินปลูก

ใหม่ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป

2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนนิยมปลูกเป็นกลุ่มตกแต่งสวนบริเวณบ้านหรือปลูกเป็นแนวรั้วก็ได้

สามารถตัดแต่ง และบังคับรูปทรงได้ตามความเหมาะสม และความต้องการของผู้ปลูก ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร

ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1:2 ผสมดินปลูก:

การดูแล

แสง ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง สามารถทนต่อความแห้งแล้ง การให้น้ำ 3-5 วัน/ครั้ง

ดิน ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้น

ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ 5-6 ครั้ง/ปี

การขยายพันธ์ การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอน วิธีที่ได้ผลดีและนิยมกัน คือ การปักชำและการตอน

โรค ไม่ค่อยพบและมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคได้ดี


ดอกรัก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Calotropis gigantea(Linn.) R.Br.ex Ait.

วงศ์ ACSLEPIADACEAE

ชื่อสามัญ Crown Flower, Giant Indian Milkweed, Gigantic



ลักษณะ
เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1.5 - 3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม
ตามกิ่งมีขน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน
ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6 – 8 ซ.ม. ยาว 10 – 14 ซ.ม.
เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม ก้านสั้น ดอกสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อ
ตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน
เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 – 3 ซม. มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สัน
เกสรตัวผู้ 5 อัน ผลเป็นฝักคู่ กว้าง 3 – 4 ซม. ยาว 6 – 8 ซม.
เมื่อแก่แตกได้ เมล็ดแบนสีน้ำตาล จำนวนมาก
มีขนสีขาวเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง

ถิ่นกำเนิด เอเซียกลาง อินเดีย

ออกดอก ตลอดปี

ขยายพันธุ์ เมล็ด, ปักชำกิ่ง




ประโยชน์
เปลือกราก รักษาบิด ทำให้อาเจียน ขับเหงื่อ
ยางมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ถ้าถูกผิวหนังทำให้ระคายเคือง
ดอกทำดอกไม้ประดิษฐ์

ดอกชวนชม

ลักษณะทั่วไป

ชวนชมเป็นพรรณไม้ยืนต้นอวบน้ำขนาดเล็กลำต้นมีความสูงประมาณ1-3เมตรลำต้นอวบน้ำผิวเปลือกสีเขียวปนขาวผิวเรียบเป็นมัน ลำต้นมียางลำต้นบิดงอไปตามจังหวะแตกกิ่งก้านสาขาน้อยรูปทรงโปร่งใบแตกออกตามปลายของกิ่งก้านใบมนรีปลายใบมนโคนใบ
สอบเรียว กลางใบมีเส้นสีขาวมองได้ชัด ตัวใบแข็ง ผิวเป็นมันเรียบมีสีเขียวดอกออกตรงปลายยอดของก้านดอกเป็นรูปแตรมีกลีบ
ดอก 5 กลีบ มีสีชมพูโคนกลีบดอกมีฐานรองดอกเป็นแฉกเล็ก ๆ สีเขียว ดอกบานมีความกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ
5 เซนติเมตร
การเป็นมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นชวนชมไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดการชวนชม นิยมชมชอบ เพราะชวนชมเป็นไม้มงคลนาม และยังทำให้เกิดแสน่ห์แห่งการดึงดูดตา ดูดใจ ชวนมองยิ่งนักตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นชวนชมไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธการปลูกการปลูกแบ่งเป็น 2 วิธี1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางทรงและขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ; ขุยมะพร้าว :
ดินร่วน อัตรา 1 : 1 : 1 ผสมดินปลูก เพื่อความสวยงามของทรงพุ่มควรดูแลตัดกิ่งให้เหมาะสม และควรเปลี่ยนกระถาง 1-2 ปี/ครั้ง เพราะการขยายตัวของรากแน่นเกินไป
2. การปลูกในแปลงปลูกประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋คอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก แต่ที่เหมาะสมควรปลูกประดับบริเวณสวนนิยมปลูกเป็นกลุ่มจะให้ดอกที่สวยงามเด่นชัดขึ้นการดูแลรักษาแสง ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

น้ำ ต้องการปริมาณน้ำน้อย ทนต่อความแห้งแล้งให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง

ดิน ดินร่วนซุย

ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้ง

การขยายพันธ์ การปักชำ การตอน

โรคและศัตรู ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรู เพราะเป็นไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพธรรมชาติได้ดี

ทานตะวัน เป็นพืชปีเดียว (Annual plant) อยู่ในแฟมิลี Asteraceae มีฐานรองกลุ่มดอก (Inflorescence) ขนาดใหญ่ ลำต้นโตได้สูงถึง 3 เมตร ฐานรองกลีบดอกอาจกว้างได้ถึง 30 เซนติเมตร ชื่อ"ทานตะวัน"ถูกใช้อ้างอิงถึงพืชทั้งหมดในจีนัส Helianthus ด้วยเช่นกัน

ทานตะวัน เป็นพืชท้องถิ่นของอเมริกากลาง มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการปลูกดอกทานตะวันในประเทศเม็กซิโกตั้งแต่ประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาล[1]

ตำนานดอกทานตะวัน
ในเทพนิยายกรีกมีนางไม้ชื่อ Clytie ที่หลงรักเทพอพอลโล ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ ได้เฝ้ามองอพอลโลทุกวันจนผมสีทองของเธอกลายเป็นกลีบดอกสีเหลืองและใบหน้ากลายเป็นดอกทานตะวัน ชื่อ Helianthus มาจากคำว่า helios ที่แปลว่าดวงอาทิตย์ กับคำว่า anthos ที่แปลว่า ดอกไม้

การเข้ามาของดอกทานตะวันในประเทศไทย
ดอกทานตะวันเข้ามาในประเทศในในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยชาวเกาหลีนำมาปลูก

ลักษณะนิสัยของคนที่ชอบดอกทานตะวันที่สุด
เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองมาก และถือดีในความรู้ความสามารถของตนไม่น้อย ชอบพึ่งพาตัวเองมากกว่าคนอื่น เป็นคนตั้งเป้าหมายในชีวิตสูง

การใช้ประโยชน์
ทานตะวันเป็นพืชให้น้ำมันโดยสกัดจากเมล็ด น้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงสามารถนำไปใช้ในการฟอกหนังและประกอบอาหาร

ทานตะวันเป็นพืชที่มีบทบาทมากในการฟื้นฟูดิน ตัวอย่างเช่น ทานตะวันสะสมตะกั่วได้ 0.86 mg/kg เมื่อเลี้ยงแบบไฮโดรโพนิกส์[2] และส่งเสริมการย่อยสลายคาร์โบฟูรานได้ 46.71 mg/kg [3][4]

ความสุขกับการ์ตูนที่ชอบ

การออกกำลังกาย

คลังบทความของบล็อก

เที่ยวอีสานเด้อค่ะ

My friends

My name is Duangruedee (Duang)